ในปัจจุบัน ‘การชงกาแฟ’ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การผลิตเครื่องดื่มออกมาเพื่อดื่มกินเท่านั้น แต่ยังถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตที่คนให้ความสนใจ ยิ่งหลังจากผ่านช่วง WFH ที่ใคร ๆ ต่างก็อยู่บ้าน การชงกาแฟดื่มเองจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคอกาแฟ เพราะเพียงแค่มีอุปกรณ์ และวัตถุดิบก็สามารถชงกาแฟโดยออกแบบรสชาติให้ตรงตามความต้องการของตัวเองได้ ซึ่งแต่ละคนก็มีสูตรกาแฟ และกรรมวิธีชงกาแฟที่แตกต่างกัน วันนี้เรามี 5 ปัจจัยที่จะช่วยเสริมให้กาแฟอร่อยขึ้นมาแชร์กัน!

1. เมล็ดกาแฟ
เลือกให้ถูกตั้งแต่เริ่ม! สิ่งแรกที่คอกาแฟทุกคนต่างรู้ดี คือเมล็ดกาแฟแต่ละสายพันธุ์ย่อมส่งผลต่อสูตรกาแฟ และให้ผลลัพธ์รสชาติที่ต่างกัน โดยเฉพาะ 2 สายพันธุ์ยอดนิยม ดังนี้
อะราบิกา
รูปทรงเมล็ดจะเรียวยาว ส่วนของแกนกลางจะมีความโค้ง มีกลิ่นสัมผัสของผลไม้ ให้รสชาติที่กลมกล่อม นุ่มนวล หวานเล็กน้อย และมีปริมาณคาเฟอีนต่ำ ประมาณ 2% ทำให้กาแฟสายพันธุ์อะราบิกาได้รับความแพร่หลาย และเป็นที่นิยมมากที่สุด
โรบัสตา
รูปทรงเมล็ดกลม มน ส่วนของแกนกลางจะเป็นเส้นตรง มีกลิ่นฉุน ให้รสชาติเข้มข้น ขม หนักแน่น ติดรสฝาดเล็กน้อย มีปริมาณคาเฟอีนที่สูง และมีความเป็นกรด มีปริมาณน้ำตาลน้อย นิยมนำไปทำเป็นกาแฟสำเร็จรูป เนื่องจากความเข้มข้นของรสกาแฟ
2. การควบคุมอุณหภูมิ
ตามปกติหากใช้เครื่องชงทั่วไป ตัวเครื่องจะถูกตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 93 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการชงกาแฟมากที่สุด แต่สำหรับสายดริปก็อาจจำเป็นต้องมีเทอร์โมมิเตอร์เพื่อวัดอุณหภูมิในการดริปแต่ละครั้ง และไล่อุณหภูมิตั้งแต่ 90-93 องศาเซลเซียส เพื่อลองดูว่าเมล็ดกาแฟชนิดไหน ควรใช้อุณหภูมิเท่าไรถึงจะได้รสชาติที่ถูกใจ เพราะอุณหภูมิก็เป็นอีกหนึ่งสูตรกาแฟที่ส่งผลต่อเมล็ดกาแฟ ทำให้ได้รสชาติที่ต่างกัน
3. เวลาที่ใช้
ช่วงเวลาในการคั้น หรือการสกัดกาแฟ คือช่วงเวลาที่น้ำร้อนจะรวมตัวกับกาแฟ และดึงเอากลิ่น รสชาติของกาแฟออกมา ยิ่งกากกาแฟผสมอยู่กับน้ำร้อนนาน ยิ่งทำให้สารเคมีต่าง ๆ ภายในถูกดึงออกมาได้มาก ซึ่งกาแฟแต่ละชนิดจะมีการใช้ระยะเวลาในการคั้นที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้รสชาติ และความเข้มข้นที่ต่างกัน

4. น้ำที่ใช้
หลายคนอาจมองข้ามการใช้น้ำในวิธีชงกาแฟไป แต่รู้หรือไม่ว่าน้ำเป็นตัวนำพาสารต่าง ๆ ของกาแฟออกมาจากเมล็ด ซึ่งการเปลี่ยนน้ำ หรือใช้น้ำที่แปลกออกไป อาจส่งผลต่อรสชาติได้เลยทีเดียว โดยไม่แนะนำให้ใช้น้ำกลั่นในการชงกาแฟ เนื่องจากแร่ธาตุของน้ำอาจทำให้เกิดปฏิกิริยากับการสกัดกาแฟ รวมถึงน้ำที่มีความเป็นด่างสูงก็อาจทำให้ตะกอนแคลเซียมอุดตันในท่อน้ำได้
ตัวเลือกที่ดีที่สุด คือ น้ำกรองที่มีแร่ธาตุระหว่าง 50-150 ppm (Parts-Per-Million) และไม่ควรใช้น้ำที่มีแร่ธาตุเกิน 300 ppm
5. การคั่ว
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อวิธีชงกาแฟเป็นอย่างมาก นั่นคือระดับการคั่วกาแฟ เพราะสามารถส่งผลชัดเจนต่อรสชาติ และการคั่วกาแฟให้ได้สมดุลถึงจุดอร่อยที่สุดนั้นก็ค่อนข้างทำได้ยาก ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการคั่ว 3 ระดับ ดังนี้
คั่วอ่อน
คือการคั่วจนได้เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลอ่อน คล้ายสีของชินนามอน โดยการคั่วระดับคั่วอ่อนจะช่วยคงคุณสมบัติดั้งเดิมของกาแฟ ทำให้มีความเปรี้ยว สดชื่น และรสฝาดสูง เหมาะกับการทำกาแฟร้อน
คั่วกลาง
คือการคั่วจนได้เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลเข้มปานกลาง โดยจะให้รสชาติ ขมปนหวาน นุ่มกลมกล่อม และมีความเปรี้ยวเล็กน้อย เหมาะกับการทำกาแฟร้อนและเย็น
คั่วเข้ม
คือการคั่วจนได้เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลเข้ม ให้รสขมปนหวานเล็กน้อย โดยไม่มีความเปรี้ยวหลงเหลือ เหมาะกับการทำกาแฟเย็น ที่ต้องการรสชาติที่เข้มข้น หรือต้องการเนื้อสัมผัสของกาแฟมาก เหมาะกับเมนู Espresso เย็นมากที่สุด
สำหรับใครที่ไม่มีเวลาศึกษาสูตรกาแฟ และวิธีชงกาแฟ ต้องลอง Room Coffee กาแฟรสชาติอร่อยเพื่อสุขภาพดี ตัวช่วยสำหรับคนไม่มีเวลา ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพของเมล็ดกาแฟสายพันธ์ุอะราบิกาจากแหล่งผลิตกาแฟที่ได้รับการยอมรับระดับโลก พร้อมสารสกัดจากธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพกว่า 36 ชนิด จนกลายเป็นกาแฟสูตรเข้มข้น รสชาติกลมกล่อม